วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

โลกนี้คือกระจกของคุณ

ช่วงนี้  กำลังอินกับหนังสือ  คุณก็ทำได้  YOU CAN DO IT
...
รู้สึกอย่างนี้หรือเปล่า
เวลาที่อ่านหนังสือ  "คนที่คุณเห็นในกระจกคือใคร?
ไม่แตกต่างจากหลักการ "โค้ช"
กระจกบานใหญ่ที่ส่องให้เราเห็นตัวตนของเราเอง


ชื่นชอบบทกวีที่ พอล ฮันน่า กล่าวไว้ในหนังสือ

คนที่คุณเห็นในกระจก
หากคุณได้สิ่งที่ต้องการจากการฝ่าฟันให้แก่ตนเอง
และโลกนี้ยอมให้คุณเป็นราชาได้เพียงหนึ่งวัน
จงไปที่กระจกและมองดูตัวเอง
และดูว่าคนในกระจกนั้นว่าเป็นอย่างไร
เขาคือคนที่คุณจะต้องเอาใจ โดยไม่ต้องสนใจอะไรอื่น
เพราะเขาจะอยู่กับคุณจนถึงวาระสุดท้าย
และคุณจะผ่านการทดสอบ แม้จะอันตรายและยากลำบากที่สุด
หากคนในกระจกเป็นเพื่อนคุณ
คุณสามารถหลอกคนทั้งโลกได้เป็นเวลาหลายปี
และได้รับการตบบ่าชื่นชม
แต่รางวัลสุดท้ายที่คุณจะได้รับ คือความเสียใจและน้ำตา
หากคุณหลอกลวงคนที่คุณเห็นในกระจก
...


ลองตอบคำถาม 3 ข้อนี้
1. เราจะต้องชอบตัวเอง ก่อนที่ใคร ๆ จะชอบเรา
2. ใครจะไปสนใจว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรา  ความคิดเห็นที่เรามีต่อตนเองต่างหากที่สำคัญ
3. เราอาจจะหลอกคนอื่นได้ในบางครั้ง แต่ในที่สุด เราจะหลอกตนเองไม่ได้


ตอบคำถามข้างบนบนแล้ว ...
ลองถามตัวเองอีกรอบ


เราเชื่ออย่าง...
เราคิดอย่างไร...
เรารู้สึกอย่างไร...


ปลูกความเชื่อเถอว่า  โลกนี้คือกระจกของคุณ












"ใช้ชีวิตคิดแบบโค้ช” เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ

เรื่องเล่าจากหนังสือ



มากมายหลายครั้ง  ที่ได้ยินเรื่องเล่าขานถึง
คำว่า โค้ชชิ่ง (Coaching)
เมื่อตกผลึกถึงแก่นของผู้มีบทบาทสำคัญ
ในการเดินกระบวนการโค้ชชิ่ง ที่เรียกตนเองว่า “โค้ช” 
ทำให้เข้าใจหลักการของโค้ช  และประโยชน์ของการ
เป็นโค้ชมากขึ้น

เสน่ห์ของหนังสือเล่มนี้ ได้กล่าวถึงหลักการของโค้ช
แนวทางการเป็นโค้ช กระบวนการโค้ชชิ่ง วิธีการกระตุ้น
จูงใจให้อยากเป็นโค้ช  โดยโค้ชเชื่อว่า ถ้าโค้ชชี่คิดได้
ด้วยตัวเองย่อมดีกว่าวิธีการของผู้อื่น  ด้วยบทบาทของ
โค้ชที่ช่วยให้โค้ชชี่สามารถพัฒนาตัวเองได้ด้วยตัวเอง
เป็นการดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของโค้ชชี่ออกมาด้วย
ตัวของเขาเอง  และหนังสือเล่มนี้ยังมีตัวอย่างของ
บุคคลที่เปลี่ยนชีวิตของตัวเองแล้วดีขึ้นด้วยการมีโค้ช
 

บทเรียนจากหนังสือเล่มนี้

 นิยาม ความหมายของการโค้ช
โค้ชคือผู้ที่ดึงศักยภาพของผู้อื่น ... ไม่ใช่เติมเต็มเข้าไป
โค้ชช่วยพาผู้อื่นออกจากจุดที่เป็นอยู่ ... ไปสู่เป้าหมาย
โค้ชสะท้อนให้โค้ชชี่ ... มองเห็นตัวเองชัดเจนขึ้น
โค้ชใช้คำถามเป็นหลัก ... หลีกเลี่ยงการแนะนำโดยตรง
โค้ชให้ความสำคัญที่แนวทางแก้ไข (Solution) ... มากกว่าที่ตัวปัญหา (Problem)
โค้ชทำให้โค้ชชี่เกิดแนวความคิดที่เป็นของตัวเอง ... ด้วยตัวเอง
โค้ชช่วยให้โค้ชชี่ค้นพบ ... เรื่องราวของตัวเองอย่างครบถ้วน
โค้ชสร้างความเชื่อมั่นให้โค้ชชี่ ... เอาชนะจินตนาการเชิงลบของตัวเอง
 

บทบาท หน้าที่ของโค้ช
เป็นนักสำรวจ ... ค้นหาศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในตัวโค้ชชี่
เป็นกระจก ... สะท้อนทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งให้โค้ชชี่มองเห็นตัวเอง
เป็นเครื่องเจียระไนเพชร ... ให้โค้ชชี่เชื่อมั่นว่าตัวเองมีคุณค่าในตัวเอง
เป็นเนวิเกเตอร์ ... นำทางให้โค้ชชี่สู่เป้าหมายด้วยเส้นทางลัด ไม่เสียเวลา
เป็นคันเร่ง ... ที่คอยกระตุ้นเตือนให้โค้ชชี่มีแรงที่จะเดินต่อ ไม่ย่อท้อ
                     ไม่หยุดเดิน  มุ่งมั่นสู่เป้าหมาย
เป็นเบรก ... ที่ช่วยกระตุ้นเตือนให้โค้ชชี่พินิจพิเคราะห์สถานการณ์เพื่อให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ด้วยดี
เป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ... ช่วยเสริมสร้างพลังให้กับโค้ชชี่เป็นช่วงๆ ให้เกิดความฮึกเหิม
                                           ลุกขึ้นมาเพื่อสู้กับเป้าหมาย
เป็นเลนส์แว่นตา ... ทำให้โค้ชชี่มีโฟกัสที่ชัดเจนมากขึ้น สร้างจุดจดจ่อ
เป็นตะแกรงร้อนแร่ทองคำ ... ช่วยให้โค้ชชี่ค้นหาคุณค่าของตัวเองให้เจอ
                                               และสร้างความภาคภูมิใจ ความเชื่อมั่นในตนเอง
เป็นโปรโมเตอร์ ... ที่คอยช่วยทำให้ฝันของโค้ชชี่เป็นจริง ช่วยผลักดันให้
                              โค้ชชี่ไปถึงฝันได้ด้วยตัวเขาเอง
เป็นนักมายากล ... ทำให้โค้ชชี่เกิดสงสัยและจับผิด เพื่อหาข้อเท็จจริง ให้เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง
เป็นผนัง (บอร์ด) ซ้อมเทนนิส ... ที่สะท้อนกลับทั้งมุมบวกและลบ สะท้อนสิ่งที่โค้ชชี่ปฏิบัติ  เพื่อให้
                                                   โค้ชชี่ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง

 
โค้ช ... เปลี่ยนชีวิตได้จริง
ในความหมายคือ โค้ชช่วยให้โค้ชชี่ เปลี่ยนชีวิตของเขาได้เองด้วยตัวเขาเอง มุ่งเน้นการ
ทำให้โค้ชชี่สามารถดึงเอาศักยภาพที่ซ่อนอยู่ออกมา เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่สิ่งที่ดี
กว่า หรือเป้าหมายที่ตั้งใจไว้  ด้วยวิธีการที่โค้ชชี่เป็นผู้ที่เลือกเอง

โดยโค้ชจะใช้ กระบวนการโค้ชชิ่ง (Coaching) ที่ผลลัพธ์ ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่
เปลี่ยนแปลงไป (Behavior of Change) ทำไปสู่การกระทำใหม่ๆ ไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจ
ไว้ได้   โดย

โค้ช ... ช่วยให้ดึงจุดเด่นมาใช้
 
โค้ช ... ปลดล็อกชีวิตให้ได้
 
โค้ช ... เพิ่มพลังให้ตามล่าหาฝัน
 
โค้ช ... ช่วยให้กำจัดวัชพืชออกจากตัว
 
โค้ช ... ทำให้เป็นเป้าหมายยิ่งใหญ่กว่าปัญหาอุปสรรค
 
โค้ช ... ช่วยทำให้เห็นคุณค่าในตัวเอง
 
 

 
จากหนังสือเล่มนี้  ทำให้กระตุ้นจูงใจอยากเป็นโค้ช มากยิ่งขึ้น  เป็นแรงกระตุ้นให้อยาก
จะพัฒนาผู้อื่นให้เขาประสบความสำเร็จมากขึ้นด้วยวิธีการที่เขาเป็นผู้ค้นพบ และเลือก
ปฏิบัติด้วยตัวของเขาเอง 


ท้ายที่สุด เพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่เป้าหมายของชีวิต ด้วยการนำหลักการ
จากหนังสือเล่มนี้  มาใช้ในการเป็นโค้ชของตัวเอง


  

 

กะเทาะ (เปลือก) ความเชื่อ ...

 

เพื่อกระแทก (เนื้อ) ความคิด ...

 

ให้กระเทือน (แก่น) ความรู้สึก มาก ...  

จน อยากลงมือทำ

 

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557

มา "โค้ช" กันเถอะ

Coaching Process
จะทำให้เราเข้าใจตัวตนของเรามากขึ้น
จะเป็นบทพิสูจน์ว่า "ชีวิตเรา เราเลือกเอง"
...
 
ลองเดินตามไปทีละขั้นตอน ตามภาพ
พร้อมหรือยัง ???
111
222
333
444
Go Go Go
...

เพื่อการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ยั่งยืน
 
 
 

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เรื่องเล่าจากหนังสือ ... คุณก็ทำได้ YOU CAN DO IT!


โปรดจำไว้ว่า  คุณคือผู้ที่อยู่ในตำแหน่งผู้บังคับการชีวิตคุณ

หนังสือเล่มนี้ เป็นที่มาแห่งมิตรภาพ ที่ โค้ชปกรณ์ วงศ์รัตนพิบูลย์ มอบให้ ตอนที่เชิญท่านมาเป็นวิทยากรบรรยายด้วยแนวการสอนแบบ Training & Group Coaching  และหนังสือเล่มนี้ เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของดิฉัน ที่ผละจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน แล้วสู่การเป็นเจ้านายตัวเอง

          พอล ฮันน่า ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้  เป็นนักพูดและนักสร้างแรงจูงใจชื่อดังของออสเตรเลีย  เป็นผู้ที่ปฏิวัติตนเองแล้วสร้างตัวเองจากสองมือเปล่า สร้างความสำเร็จให้ตนเองด้วยทัศนคติที่ว่า เราเท่านั้นคือผู้รับผิดชอบต่ออนาคตและความสำเร็จของตน!

เสน่ห์ของหนังสือเล่มนี้ จะปลุกพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเราให้ตื่นขึ้นมา เป็นการบอกเล่าประสบการณ์จริงของผู้ที่เปลี่ยนแปลงตัวเอง ที่ไม่ละทิ้งความมุ่งมั่นในเป้าหมาย มีมานะอุตสาหะ มีความนับถือตนเอง และมีความคิดที่เป็นบวก สุดท้ายเขาเหล่านั้นก็ขึ้นทำเนียบคนที่ประสบความสำเร็จได้อย่างที่เขาต้องการ รวมถึงในหนังสือจะแทรก บทกวี วลีสั้น ๆ คำคม ที่เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ที่ตามหาความสำเร็จ
 

บทเรียนจากหนังสือเล่มนี้
v วิธีตั้งเป้าหมายและแน่วแน่กับเป้าหมาย
ด้วยการเขียนเป้าหมายลงในกระดาษ พร้อมกำหนดเส้นตาย ระบุให้เฉพาะเจาะจงถึงสิ่งที่ต้องการ มีสมาธิ จดจ่อ มุ่งมั่น รับผิดชอบ และให้ความสำคัญกับสิ่งที่กำหนด
      “เป้าหมายเปรียบได้กับภาพตัวอย่างจากกล่องแห่งชีวิต”

v วิธีเพิ่มความมั่นใจในตนเอง
ด้วยการกำหนดภาพพจน์ที่เรามองตนเอง ความคิดเห็นที่เรามีต่อตัวเอง การนับถือตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง และการให้กำลังใจตนเองด้วยคำพูดแห่งความสำเร็จ
      “ฉันคือผู้ควบคุมชีวิตฉันเอง”

v วิธีเป็นผู้ชนะที่กอบกู้ตนเองจากความพ่ายแพ้
ด้วยการอย่าเน้นที่อุปสรรคให้แน่วแน่กับเป้าหมาย เปลี่ยนความท้อถอยเป็นความสำเร็จ เผชิญความกลัวอย่างเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อ สลัดความกลัวไม่ให้มันควบคุมเรา และสำคัญที่สุดคือจงเชื่อมั่นในตัวเราเอง และเชื่อมั่นในศักยภาพในตัวเอง
      “จงพักเถิด หากคุณต้องพัก แต่อย่ายอมแพ้”


v วิธีดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต
ด้วยการมีทัศนคติเป็นบวกว่าเรามีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราเอง การใช้คำพูดที่เป็นบวกเริ่มจากตัวเองและส่งไปยังคนรอบข้าง สร้างความโชคดีให้แก่ตนเอง มองเห็นความยิ่งใหญ่ที่อยู่ในตัวคนอื่น  และพร้อมเป็นผู้ให้ด้วยเจตนาบริสุทธิ์
      “โอกาสดี ๆ มักจะเข้าหาจิตใจที่เตรียมพร้อมเสมอ”


 
จากเล่มนี้ ยังมีอีกหลากหลายมุมที่เราสามารถหยิบมาโค้ชตัวเอง ลองหามาอ่านดูนะคะ สิ่งหนึ่งที่ดิฉันได้หยิบมาโค้ชตัวเอง จากคำกล่าวที่ว่า

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะใด เมื่อเขาทำได้ คนอื่น ๆ ก็ทำได้
แล้วทำไมตัวคุณเอง จะทำไม่ได้!!
 
 
 

วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เรื่องเล่าจากหนังสือ “โค้ชอ๊อต เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร” ตอน 2


ผมเป็นแค่ผู้ชายบ้านนอกธรรมดาๆ ที่รู้จักหัวใจตนเอง
และออกเดินหน้าตามหา “ความฝัน” อย่างไม่ลดละ

 เพื่อให้เข้ากับช่วงฤดูกาลกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ 2014  และผู้ที่สั่นสะเทือน
กีฬาวอลเลย์บอลหญิงของทีมไทย  ทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ของหัวหน้าทีมฝึก
ในนาม “โค้ชอ๊อต หรือ เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร”  เลยเลือกหยิบหนังสือเล่มนี้มาเล่า

เสน่ห์ของหนังสือเล่มนี้  ได้ดำเนินเนื้อหาในเล่ม  ที่กล่าวถึงประวัติโดยย่อของโค๊ชอ๊อต  การสร้างทีมวอลเลย์บอลหญิงในชุด Dream Team และเกร็ดความรู้
สั้น ๆ เกี่ยวกับการสร้างภาวะผู้นำในชื่อ 
Leader, TIPS

หนังสือเล่มนี้ ทำให้ได้สัมผัสถึงวิธีคิด ทัศนคติในการสร้างทีม  ตลอดจนความมุ่งมั่นศรัทธาและความรักที่มีต่อวอลเลย์บอล  ตลอดจนเห็นถึงวิธีการก้าวไปสู่เป้าหมาย  วิธีการนำทีม  และวิธีการสร้างทีม

บทเรียนจากหนังสือเล่มนี้
วิธีการก้าวไปสู่เป้าหมาย
v เริ่มต้นจาก “ความฝัน”  และ “ความรัก”
“ความฝันเหมือนเป็นเข็มทิศของชีวิต” ความฝันทำให้เรามุ่งมั่นที่จะไป ต้องทำ
ให้ได้ แต่ฝันอย่างเดียวไม่พอ ต้องมี “ความรัก” ร่วมด้วย  เพราะเมื่อรักแล้ว
เราจะสนใจสิ่งนั้น ๆ มากขึ้น ซึ่งมันจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เราขยับเข้าไปใกล้
สิ่งที่ฝันไว้

v ต่อด้วย “ความมุ่งมั่น”
เมื่อเรามุ่งมั่น ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุดตามแผนที่วางไว้ สิ่งที่ยากก็อาจเป็นจริงได้ในไม่ช้า  อีกทั้งต้องมี ความมานะพยายาม ความเพียร ที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มาพัฒนาตัวเอง ให้สามารถก้าวไปถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้

v ปิดท้ายด้วย “มองความสำเร็จในวันนี้”
ต้องมองให้เห็นถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้น เพราะมันมีคุณค่ามากสำหรับเรา มันเป็น การลงทุนด้วยความตั้งใจ และมันจะสะท้อนให้เห็นถึง ความมานะพยายาม ความมุ่งมั่น ที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย  ในท้ายที่สุด “ความสำเร็จ คือ ความภาคภูมิใจ”   ที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต


วิธีการนำทีม  ด้วย A. C. E. “
v Active
ผู้นำต้องมีความกระตือรือร้น กระตือรือร้นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ กระตือรือร้นในการเป็นแบบอย่างที่ดี
v Create
ผู้นำต้องมีความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน ต้องคิดเรื่อยๆ คิดสม่ำเสมอว่าจะทำอย่างไรให้การทำงานประสบความสำเร็จ  คิดที่จะทำงานให้ราบรื่น คิดทำให้ทีมงานเก่ง และเสริมด้วยกระบวนการคิดนอกกรอบ

v Exciting
ผู้นำต้องมีความตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตูม  เป็นการตื่นตัวในการทำงาน มีความพร้อมที่จะรับมือกับทุกสถานการณ์  แต่ไม่ใช่เป็นการตื่นเต้น หวาดวิตกจนทำอะไรไม่ถูก


วิธีการสร้างทีม
v ให้ลูกทีมเกิดความรัก
เมื่อมี “ความรัก” จะมีความสุขที่ได้ทำและไม่ยากที่จะขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม ที่สำคัญคือมันทำให้รู้สึกว่า “อยากทำ” ไม่ใช่ “ต้องทำ”
แม้จะเหนื่อยจะท้อ ก็จะมีแรงฮึดสู้ขึ้นมา เพื่อทำในสิ่งที่เรารัก
v ให้ลูกทีมทำงานอย่างถูกวิธี
งานแต่ละงานจะประกอบด้วยทักษะ เทคนิคและแท็กติก ที่ต่างกันออกไป
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปูพื้นฐานให้แน่น ให้ลูกงานต้องเริ่มลงมือทำจากสิ่งง่าย ๆ ไปสู่สิ่งที่ยาก ให้ลูกทีมมีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถในขั้นตอน วิธีการอย่างถูกวิธี

v ต้องพัฒนาคุณภาพชีวิตลูกทีมให้สูงสุด
ฐานะผู้นำทีมต้องมีจิตวิญญาณความเป็นผู้นำ แสวงหาปัจจัยต่าง ๆ เพื่อมาสนับสนุนการทำงานของลูกทีมให้สัมฤทธิ์ผลได้มากที่สุด หาหนทางอุดรอยรั่วที่อาจจะเกิดขึ้น และสำคัญที่สุด ต้องให้การเสริมแรงที่เข้ากับจริตแก่ลูกทีม เพราะมันที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้ลูกทีมไปสู่ปลายทางตามที่มุ่งหวัง


จากเรื่องเล่าของหนังสือเล่มนี้  ลองหามาอ่านดูนะคะ  เชื่อว่า ท่านจะได้แนวคิดที่นำมาพัฒนาภาวะผู้นำในตนเอง แรงบันดาลใจที่พาเราไปสู่เป้าหมาย  ตลอดจนเทคนิควิธีการนำทีม เทคนิคการสร้างทีม เพื่อให้ประสบความสำเร็จ

“อย่าจัดการเวลา ... ให้จัดการชีวิต”


นิยามของเวลาในแต่ละบุคคลย่อมไม่เหมือนกัน ต่างกันตามการรับรู้ และประสบการณ์ของแต่ละบุคคล  ซึ่งสิ่งที่เป็นจริงแน่ๆ ก็คือ เวลาคือสิ่งที่เรารู้กันว่ามีอยู่จริง ทว่าจับต้องไม่ได้ แต่เวลากลับสามารถควบคุมชีวิตเราได้ ด้วยการมีอยู่อย่างจำกัด  หากเราเปลี่ยนการใช้ชีวิตแบบ ฆ่าเวลา ให้เป็น (รู้)ค่าเวลา แล้ว เราจะเรียนรู้ว่า เวลาที่คิดว่ามีน้อยไปหรือมากไปนั้น ไม่สามารถตีกรอบจำกัดให้ชีวิตได้   ดังนั้น คำว่า บริหารเวลา จริงๆ แล้วก็  “ไม่ได้บริหารที่ตัวเวลา แต่เป็นการบริหารเหตุการณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตของเราในห้วงเวลานั้นๆ”

การบริหารเวลา จะสะท้อนเรื่องการมีวินัยของตัวเอง เพราะทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงที่เท่ากัน แต่ใครสามารถที่จะใช้เวลาที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิผลมากกว่ากัน  ดังนั้น การให้ความสำคัญในเรื่องการบริหารเวลาต้องให้ความสำคัญในเรื่องการดำเนินชีวิตของตัวเองด้วย  นั้นย่อมแสดงว่า  การจัดการเวลาก็คือการจัดการชีวิต   “ผู้ที่จัดการชีวิตเป็น ... คือผู้ที่จัดการเวลาเป็น”

คนที่จัดการชีวิตตนเองได้ดี จะทำดังนี้….
                    J วางเป้าหมายในชีวิตไปข้างหน้า
                    J เน้นย้ำคุณค่าเป้าหมายนั้น
                    J ใช้ศักยภาพตัวเองถึงขีดสุด
                    J เพิ่มความสุขให้ตัวเอง
                    J ฝึกสอนผู้อื่น
                    J เพิ่มคุณค่าในชีวิตผู้อื่น

จาก 6 ประเด็นข้างต้น เราจะลงรายละเอียดกันในแต่ละประเด็น ในตอนหน้าเราจะมา วางเป้าหมายในชีวิติไปข้างหน้า  เพราะเป้าหมายมันเป็นเข็มทิศแห่งชีวิต และเป็นเครื่องมือนำทางในการบริหารเวลา  เรามาพบกันต่อในตอนต่อไปนะคะ
 

 

“ถ้าคุณรักชีวิต อย่าใช้เวลาฟุ่มเฟื่อย  เพราะว่าชีวิตประกอบด้วยเวลา”

(เบนจามิน แฟรงคลิน)

วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เส้นทางมุ่งสู่หลวงพระบาง

ส่งท้ายปีเก่า 2556  เข้าสู่ปีใหม่ 2557 
ครอบครัวนักเดินทาง  พ่อ แม่ ลูก  ได้ลัดเลาะตามเส้นทางสู่หลวงพระบาง
มุ่งหน้าออกจากเมืองกรุง  ตามเส้นทางกบินทร์บุรี  ข้ามเขาเข้าเขตวังน้ำเขียว
ลงสู่เมืองย่าโม  เจอขบวนรถมากมาย  ที่มุ่งมั่นกลับบ้านกัน
จริงดิ  "ไม่มีที่ไหนสุขใจเหมือนบ้านเรา"

หลังจากทำเรื่องออกจากด่านที่หนองคาย
คืนแรก นอนพักเอาแรงริมฝั่งโขง  เมืองเวียงจันทน์ 
มองสายน้ำ พรมแดนที่แยกคนสองสัญชาติออกจากกัน
คืนสองคืนสาม  แวะล่องห่วงยางที่วังเวียง  แวะโดดน้ำเล่นที่บลูลากูนแห่งเมืองลาว
จากนั้น... ขับรถลัดเลาะตามไหล่เขา ผ่านเส้นทางอันคดเคี้ยว 
เส้นทางประมาณ 200 กิโลเมตร  กับเวลา 8 ชั่วโมง  ทรหดยิ่งกว่าเส้นแม่ฮ่องสอนของชาวไทย
คืนสี่คืนห้า  ถึงเมืองมรดกโลก  นาม  หลวงพระบาง  ...
แวะซื้อหวยลาว  ปั้นจักรยาน  เดินช๊อปปิ้งตลาดกลางคืน ใช้เงินกีบเป็นฟ่อนๆ

ได้อะไรมามั่ง ....
การเติมเต็มซึ่งกันและกันระหว่างชีวิตในครอบครัว
การเปิดโลกกว้างด้วยพบปะชนชาติอื่น
การสะท้อนมองมุมใหม่ๆ  ผ่านวิถีทางด้วยความแปลกใหม่ ตื่นเต้น 
มากกว่าการมีชีวิตเพื่ออยู่ไปวันๆ



 
 
 
 
 
 
 




เรื่องเล่าจากหนังสือ "โค้ชอ๊อต - เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร"

3 มิถุนายน 2557

ได้หนังสือเล่มนี้มาจาก B2S  ชอบ ....  ตั้งใจคัดลอกบางข้อความที่ถูกใจออกมา
เป็นเหมือนกระจกส่องให้เห็นภาพตนเอง... ยอมรับตนเอง...  และอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เพื่อเป็นกำลังใจตนเอง  เพื่อไล่ล่าตาม "ฝัน" ต่อไป




เรื่องเล่าจากหนังสือ :




ความสำเร็จที่มีในวันนี้ ไม่ใช่เพราะผมเก่งมาแต่กำเนิด
ผมไม่ใช่เทพ  ผมไม่ใช่ผู้วิเศษที่ไหน
ผมแค่เป็นผู้ชายบ้านนอกธรรมดา ๆ ที่รู้จักหัวใจตัวเอง
และออกเดินหน้าตามหา "ความฝัน" อย่างไม่ลดละ
ชนิดที่ว่า  ถึงใครจะหาว่า "บ้า เพี้ยน ไม่มีทางเป็นไปได้"  แต่ผมก็ไม่สนใจ

........................

เป็นไปตามจริงตามหลักพาราโต  20:80
พรสวรรค์ ให้เรามาเพียง 20% 
ที่เหลือคือ  พรแสวง  มาถึง 80%